เศียรครู เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญในสายพิธีกรรมไทย โดยเฉพาะในวงการนาฏศิลป์ ดนตรีไทย โขนละคร ไปจนถึงสายครูบาอาจารย์ด้านไสยศาสตร์และพิธีบวงสรวง ครอบคลุมตั้งแต่การเป็นสัญลักษณ์แห่งความกตัญญู การเชื่อมโยงศิษย์กับครู ไปจนถึงการป้องกันภัยและเสริมสิริมงคล ซึ่งสะท้อนคุณค่าของการเคารพครูอันเป็นรากฐานสำคัญในสังคมไทย
ความเป็นมาของเศียรครู

การเกิดขึ้นของ เศียรครู มีรากฐานจากความเชื่อโบราณที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพราหมณ์–ฮินดูกับพระพุทธศาสนา ในคติความเชื่อไทย ครูคือผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา และมีคุณวิเศษที่ควรได้รับการสักการะอยู่เสมอ
การสร้างเศียรครูจึงเกิดจากการแทนการบูชาครูหรือเทพเจ้าในรูปของ “เศียร” เพราะหัวเป็นส่วนสูงสุดของร่างกาย ถือเป็นศูนย์รวมพลังและปัญญา การบูชาเศียรครูจึงมีนัยสำคัญทางจิตวิญญาณว่าเป็นการน้อมรำลึกถึงครูผู้สอนวิชาและเทพเจ้าที่คุ้มครอง
ในวงการนาฏศิลป์ไทย เช่น โขนและละคร จะมีการสร้าง เศียรพระพิราพ (ครูใหญ่ของโขน), เศียรหนุมาน, หรือ เศียรฤๅษีตาไฟ เพื่อบูชาในพิธีไหว้ครูก่อนการแสดงเสมอ ขณะที่สายวิชาไสยศาสตร์ก็มักมีเศียรครูประจำสำนักเพื่อใช้ในพิธีกรรม ถือว่าเป็นที่สถิตของครูบาอาจารย์และเทพผู้คุ้มครอง
ความหมายเชิงสัญลักษณ์
• เศียรครู = ตัวแทนแห่งครูผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา
• การบูชา = การแสดงความกตัญญูและการขออนุญาตเรียนวิชา
• การตั้งบูชาในพิธี = การเสริมสิริมงคลและสร้างความมั่นใจว่าการเรียนหรือการแสดงจะสัมฤทธิ์ผล
สิ่งเหล่านี้ทำให้เศียรครูไม่ใช่เพียงวัตถุสำหรับการสักการะ แต่เป็น “สัญลักษณ์แห่งครู” ที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
ความเชื่อเกี่ยวกับเศียรครู
1. เป็นตัวแทนของครูบาอาจารย์และเทพผู้ถ่ายทอดวิชา
เช่น พระพิราพ หนุมาน ฤๅษี การบูชาเศียรครูคือการน้อมระลึกถึงครูผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้
2. เป็นสื่อกลางเชื่อมครูกับศิษย์
ผู้เรียนจะต้องไหว้ครูเพื่อขออนุญาตก่อนเรียนวิชา หากละเลยเชื่อว่าอาจเรียนไม่สำเร็จหรือนำวิชาไปใช้แล้วไม่เกิดผล
3. เป็นสิ่งคุ้มครองป้องกันภัย
ศิษย์ในสายวิชามักเชื่อว่าเศียรครูช่วยป้องกันเคราะห์ร้าย และทำให้การงานราบรื่น
4. เสริมสิริมงคลแก่ผู้ครอบครอง
ผู้ที่มีเศียรครูบูชาจะเชื่อว่าช่วยให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ศิลปะ และวิชาที่เรียน
ความสำคัญของเศียรครู

• ในนาฏศิลป์ ดนตรี และโขนละคร
ทุกปีจะมีพิธีไหว้ครูที่ตั้งเศียรครู เช่น เศียรพระพิราพหรือฤๅษีตาไฟ เพื่อแสดงความกตัญญูและขอพรให้การแสดงประสบความสำเร็จ
• ในสายวิชาความรู้และไสยศาสตร์
ครูบาอาจารย์จะใช้เศียรครูเป็นศูนย์รวมจิตใจและสัญลักษณ์ว่าศิษย์ได้รับอนุญาตให้เรียนวิชา
• ในสังคมไทยปัจจุบัน
เศียรครูกลายเป็นวัตถุมงคลที่นิยมเก็บบูชาในบ้านหรือสำนัก ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่ยังเป็นงานศิลป์และมรดกทางวัฒนธรรม
• ในเชิงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
เศียรครูสะท้อนแนวคิดเรื่อง “ผู้รู้ย่อมเคารพครู” ซึ่งเป็นคุณค่าหลักในวัฒนธรรมไทย
กระบวนการสร้างเศียรครู

การปั้น เศียรครู เป็นงานศิลป์ที่ต้องใช้ทั้งฝีมือ ความรู้ และความเข้าใจในคติความเชื่อ
1. การเตรียมโครงสร้าง – ทำโครงด้วยดิน น้ำมัน หรือไม้ไผ่เพื่อกำหนดสัดส่วน
2. การปั้นรายละเอียด – ใบหน้า ตา จมูก ปาก รวมถึงเครื่องประดับตามตำรา
3. การพอกและหล่อ – ใช้ปูนปลาสเตอร์ เรซิ่น หรือไฟเบอร์กลาสในยุคใหม่
4. การลงรัก ปิดทอง และลงสี – เพื่อความงดงามและความคงทน เช่น พระพิราพหน้าดำ หนุมานหน้าขาว
5. พิธีพุทธาภิเษกหรือเบิกเนตร – อัญเชิญครูหรือเทพเข้าสถิตในเศียร ถือว่าเศียรครูเสร็จสมบูรณ์
อาจารย์ผู้มีชื่อเสียงด้านการสร้างเศียรครู
• ช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร : อนุรักษ์การสร้างเศียรครูโขนแบบดั้งเดิม
• อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต : ศิลปินแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะไทยและนาฏศิลป์
• ครูมนตรี ตราโมท : สืบสานพิธีไหว้ครูดนตรีไทยซึ่งใช้เศียรครูประกอบพิธี
• ช่างพื้นบ้าน : หลายสำนักปั้นเศียรครูสืบทอดกันในตระกูล
• สายพระเกจิและครูบาอาจารย์ : เช่น หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน, หลวงปู่กาหลง วัดเขาแหลม ที่สร้างเศียรครูเป็นวัตถุมงคล
ความสำคัญในเชิงศิลป์และพิธีกรรม

เศียรครู ไม่ได้เป็นเพียงงานช่างที่งดงาม แต่เป็นศิลปะที่แฝงด้วยคติความเชื่อและจิตวิญญาณ ต้องอาศัยทั้งความประณีต ความรู้ด้านตำรา และพิธีกรรมประกอบ ผู้ปั้นเศียรครูจึงมักได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งศิลปินและผู้สืบทอดภูมิปัญญา
เศียรครู คือมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมที่หลอมรวมความเชื่อ ความศรัทธา และความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะอยู่ในวงการนาฏศิลป์ ดนตรี โขนละคร หรือสายวิชาไสยศาสตร์ เศียรครูยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งครูที่คอยคุ้มครองและเสริมสิริมงคลแก่ผู้ศรัทธา และยังเป็นศิลปะชั้นสูงที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบต่อไป